ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์โควิด 19 ที่แพร่ระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนไม่น้อยต้องปิดตัวลง และแทบจะไม่มีใครกล้าลงทุนเริ่มต้นเปิดร้านธุรกิจใหม่กันสักเท่าไร เพราะตราบเท่าที่สถานการณ์ยังไม่สงบ โอกาสล้มเหลวก็ยังคงมีมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีร้านอาหารและคาเฟ่บางส่วนที่แม้จะเป็นร้านน้องใหม่ แต่ก็กลับเปิดตัวได้อย่างสวยงาม เติบโตพุ่งสวนกระแส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Mamie Café & Eatery ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับร้านคาเฟ่ขนาดใหญ่บนถนนคลองหลวงแห่งนี้กันให้มากขึ้น พร้อมกับถอดสูตรเด็ดเคล็ดลับกันด้วยว่า ทำอย่างไรถึงสามารถแจ้งเกิดได้ ท่ามกลางวิกฤติ
จากรับจัด Wedding สู่การทำคาเฟ่ ไม่ได้ทำเพราะเท่ แต่ทำเพราะรัก
ก่อนจะมาเป็น Mamie Café & Eatery นั้น คุณกิฟต์ หนึ่งในเจ้าของร้านร่วมกับพี่น้องและคุณแม่ได้เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมครอบครัวของคุณกิฟต์ใช้พื้นที่แห่งนี้ในการเป็นสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงงานแต่งงาน ซึ่งถือว่าเป็นกิจการที่ทำได้ดีมาตลอด 7 ปี ร่วมกับงานประจำที่ทำอยู่ จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตโควิดขึ้น ทั้งงานประจำและงานจัดเลี้ยงแต่งงานก็เริ่มลดลง แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังถือว่าแย่อยู่ ทำให้ทุกคนต้องร่วมกันหาทางออก ซึ่งด้วยเพราะมีใจรักในงานบริการ และมีลูกค้าเคยถามเสมอว่า ทำไมถึงไม่เปิดร้านอาหาร ทุกคนจึงลงความเห็นตรงกันว่า จะเปิดเป็นร้านคาเฟ่ขึ้นมา
เพราะคิดว่าน่าจะเป็นงานที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด น่าจะทำได้ดี เพราะพี่น้องแต่ละคนก็รักและชอบทำอาหาร ทำขนมอยู่แล้ว ประกอบกับมองเห็น “โอกาส” ในวิกฤต เรื่อง “เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค” ที่ปัจจุบันชื่นชอบการไปเที่ยวคาเฟ่ โดยไม่ได้สนใจว่าร้านจะอยู่ไกลแค่ไหน ขอให้เป็นร้านที่สวย ดี และมีของอร่อย ก็เต็มใจที่จะเดินทางไป ซึ่งเราก็มีสถานที่อยู่ จึงคิดว่าการเปลี่ยนสถานที่ที่เคยมีไว้สำหรับจัดเลี้ยงงานแต่งงาน ให้กลายเป็นคาเฟ่ที่สวย วิวดี มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ น่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ไม่ยาก และเราสามารถทำได้ โดยรักที่จะทำอย่างเต็มที่ด้วย
เพราะรักที่จะเรียนรู้ จึงเริ่มต้นได้แม้จะไม่ได้รู้ และไม่มีประสบการณ์ทำร้านอาหารมาก่อน
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะทำร้านคาเฟ่ ทุกคนในครอบครัวก็ช่วยกันก็ตั้งชื่อร้าน เพราะต้องการให้ชื่อร้านนั้นนำมาซึ่งแนวคิดในการทำงานทั้งหมด เพื่อให้การสื่อสารออกไปนั้นชัดเจนที่สุดว่า ร้านของเราเป็นร้านแบบไหน โดยกว่าจะมาใช้ชื่อ “Mamie Café & Eatery” ได้ ก็มีที่มาจากคำว่า “Mamie” ที่แปลว่าคุณยายเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งก็หมายถึงคุณแม่ที่เป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนี้ รวมถึงเป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นครอบครัว ตรงกับกลุ่มลูกค้าที่เราตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนั้นแล้ว เราก็ไม่อยากใช้ชื่อ The Resort House ชื่อเดิมตรงๆ เพราะเกรงว่าลูกค้าจะสับสน ส่วนที่ตั้งใจกันว่าจะเปิดเป็นร้านคาเฟ่อย่างเดียว พอนึกได้ว่าถ้าลูกค้าเข้ามานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศนานๆ แล้วเกิดหิว เราก็น่าจะมีอาหารพร้อมเสิร์ฟด้วย พอรวมความคิดทั้งหมดได้
จึงกลายมาเป็นชื่อเต็ม Mamie Café & Eatery ที่ลงตัวในที่สุด ทั้งนี้ ด้วยความที่แม้ทุกคนพี่น้องจะทำอาหารเป็น และชอบทำอาหาร แต่ก็ไม่เคยเปิดร้านอาหารมาก่อนเลย จึงต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดทุกเรื่อง ซึ่งก็โชคดีที่ได้เพื่อนสนิทซึ่งเป็นเชฟคอยให้คำแนะนำ เรื่องเมนู เรื่องสูตร และการจัดการร้าน การบริหารต้นทุนต่างๆ จึงทำให้ความตั้งใจที่จะเปิดร้านเป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด
ภาพบรรยากาศบริเวณคาเฟ่ มุมต่างๆ ใกล้ๆ คาเฟ่
เริ่มต้นด้วยจำนวนเมนูน้อยๆ แต่ต้องอร่อยและถูกใจลูกค้า
ด้วยเพราะไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อน เพื่อเป็นการเซฟตัวเองให้ได้มากที่สุด คุณกิฟต์จึงเลือกเป็นการเปิดร้านแบบ Soft Opening Menu คือ ยังไม่ต้องมีเมนูให้เยอะมาก แต่มีเมนูพอประมาณเท่าที่ควรจำเป็นจะต้องมีให้เหมาะสมกับสไตล์ของร้าน เพื่อให้ทีมงานทุกคนได้ฝึกซ้อมให้คล่องตัวเสียก่อน ในขณะเดียวกันก็จะได้เป็นการสำรวจตลาดความต้องการของลูกค้าไปในตัวเลยด้วยว่า ลูกค้าชอบ ไม่ชอบอะไร แล้วค่อยมาปรับกันใหม่ให้ลงตัวกว่าเดิม
โดยสำหรับเมนูเริ่มต้นของร้าน คุณกิฟต์จะแยกออกเป็นส่วนๆ ที่คาเฟ่ และ ร้านอาหารต้องมี ได้แก่ ขนมเค้ก ก็จะมีรสที่นิยมทาน คือ ช็อกโกแลต ผลไม้ ครีมชีส และกาแฟ ครัวซองก์ ก็มองว่าต้องมีทั้งชนิดหวานและคาว ได้แก่ ครัวซองก์อัลมอนด์ ผักโขม ทูน่า เพื่อให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หรือคนที่ชอบทั้งคาวหวานเลือกทานได้ครบ ถัดมาที่เครื่องดื่ม ก็ยืนพื้นด้วยกาแฟพื้นฐาน อันได้แก่ เอสเปรสโซ่ ลาเต้ อเมริกาโน่ แล้วก็เพิ่มความพิเศษด้วยกาแฟผลไม้ตระกูลส้มและเบอรี่ไปอีก 2 ตำรับ ส่วนฝั่งอาหารก็จะมีข้าว สเต็ก สปาเก็ตตี้ ให้พอมีความหลากหลาย และมีทั้งเนื้อ หมู ไก่ ปลา ให้ทุกคนเลือกทานได้ง่ายที่สุด
ซึ่งถึงแม้เมนูจะมีไม่มาก แต่สิ่งที่เราเน้นหนักมากๆ ก็คือ ทุกเมนูต้องอร่อย ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจริงๆ เพราะเราถือคติว่า ถ้าทานแล้วรู้สึกธรรมดา เหมือนที่หาทานได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านทั่วไป ก็จะไม่มีเหตุผลเลยที่ลูกค้าต้องเดินทางไกลมาทานที่ร้านเรา ดังนั้น การคัดสรรวัตถุดิบ และการปรุงเมนูทุกเมนูของที่ร้าน จึงพิถีพิถันมาก เราทุกคนในครอบครัวคัดกันเอง ทำกันเอง กลั่นกรองมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ทุกเมนูคือดีที่สุดสำหรับลูกค้าเท่าที่เราจะทำได้
ค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไข ศึกษาจากลูกค้าไปจนมัดใจลูกค้าได้สำเร็จ
หลังจากเริ่มเปิดร้านไป อะไรหลายๆ อย่างที่คิดไว้ ก็ต้องเปลี่ยนแปลง คุณกิฟต์เล่าให้ฟังว่า Mamie Café & Eatery คือร้านที่ใช้การเรียนรู้จากลูกค้าเป็นหลักเลย อย่างเช่นกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ตอนแรกว่าจะจับกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก พอเริ่มเปิดไปจริงๆ ก็จะมีกลุ่มคนทำงาน จากแถวธรรมศาสตร์ จากหน่วยงานราชการในบริเวณใกล้เคียงมาใช้บริการด้วย โดยจะมาในช่วงตอนพักเที่ยง จนถึงบ่าย 3 โมงเย็น และเสาร์อาทิตย์ถึงจะเป็นลูกค้าครอบครัว ซึ่งก็ไม่ใช่ครอบครัวเล็กๆ แต่เป็นแบบครอบครัวใหญ่เลย มีคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อคุณแม่พากันมาเที่ยว มาทานอาหาร ทานกาแฟที่ร้าน ฯลฯ ก็เลยทำให้ทราบแน่ชัดขึ้นว่า กลุ่มลูกค้าที่แท้จริงนั้นคือใครกันแน่ ทำให้ร้านต้องกลับมาปรับปรุงอะไรต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น อย่างเรื่องเมนูที่ตัวไหนไม่ออก ก็ตัดทิ้ง ตัวไหนต้องเพิ่มก็จะเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งพอเปิดร้านไปก็พบว่า ขาดเมนูเผ็ดๆ ก็ต้องเพิ่มข้าวพะแนง คั่วกลิ้งเข้ามา ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น
ทำการตลาดผ่านเฟสบุคกลุ่ม ไม่ต้องทุ่มงบเยอะ แต่ทุ่มการบริการให้มาก
Mamie Café & Eatery คือคาเฟ่ที่เกิดขึ้นมาในช่วงที่ทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ดังนั้น คุณกิฟต์จึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการจัดสรรงบประมาณในการลงทุน โดยเลือกใช้การทำประชาสัมพันธ์ในเฟสบุคกลุ่ม ที่เป็นกลุ่ม Market ออนไลน์ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต อาทิ กลุ่มซื้อขายของของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ได้รับผลตอบรับที่ดี โดยคุณกิฟต์เลือกใช้โพสต์รูปภาพสวยๆ มุมสวยๆ ของร้าน บวกกับภาพเมนูอาหาร เครื่องดื่ม แต่ไม่ได้โพสต์ทีเดียวทั้งหมดทุกรูปทุกมุมในคราวเดียว คุณกิฟต์เลือกใช้วิธีค่อยๆ ปล่อยโพสต์เรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ
ซึ่งผลตอบรับก็ถือว่าดีมากๆ เพราะเมื่อลูกค้ามาที่ร้าน ก็จะสั่งเมนูตามที่เห็นในโพสต์ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีการทำการตลาดผ่านการซื้อโฆษณาบนเฟสบุคด้วย แต่ไม่ได้ซื้อโดยใช้งบประมาณครั้งละมากๆ เพราะ คุณกิฟต์มองว่า ถ้าซื้อเยอะแล้วลูกค้าเข้ามาร้านมากเกินไป ในขณะที่ร้านยังไม่พร้อม ก็อาจเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ซึ่งด้วยการซื้อโฆษณาแบบจำกัดกลุ่มพื้นที่ กับผู้คนที่เคยมีส่วนร่วมกับโพสต์อย่างเหมาะสม จึงทำให้เกิดการเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และทำให้ร้านค่อยๆ เติบโตและเรียนรู้ไปกับลูกค้าพร้อมๆ กัน
เชื่อมั่นในจุดเด่นที่มี และพยายามทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
จุดเด่นที่สุดที่คุณกิฟต์ใช้เป็นจุดขายหลักในการดึงดูดลูกค้าเข้าร้านของ Mamie Café & Eatery ก็คือ “สถานที่” โดยคุณกิฟต์จะเน้นการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม เพราะปัจจุบันลูกค้าเลือกร้านจากโซเชียล ที่รูปภาพคือสิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าสนใจได้มากที่สุด ดังนั้น เมื่อตกแต่งร้านได้สวย มีมุมน่านั่ง น่าถ่ายรูปที่ถูกใจ โอกาสที่ลูกค้าจะสนใจและมาที่ร้านก็มีมากขึ้น ซึ่งที่ Mamie Café & Eatery นั้นเต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปสวยงามมากมาย ทั้งมุมที่เป็นสวนสวย มุมที่นั่งริมน้ำ มุมให้อาหารปลา และมุมสนามเด็กเล่น เป็นต้น ซึ่งคุณกิฟต์ก็จะยังไม่ได้หยุดแค่นี้ แต่จะปรับสถานที่ให้สวยงามและแปลกใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ จะจัดให้มีมุมใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อ และกลับมาใช้บริการซ้ำอีก เพราะเชื่อมั่นในต้นทุนเดิมเรื่องสถานที่ที่มี จึงพยายามพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับเรื่องของรสชาติอาหาร และเครื่องดื่ม เพื่อให้สุดท้ายแล้ว Mamie Café & Eatery กลายเป็นคาเฟ่พักผ่อนหย่อนใจที่ทุกคนสามารถมาใช้เวลาอยู่ได้นานๆ และดื่มด่ำกับทุกบริการในทุกครั้งที่มีโอกาส
วางแผนต่อเนื่องเรื่องอนาคต ต้องลดต้นทุนค่าโฆษณาให้ได้มากที่สุด
เมื่อถูกถามว่ามองอนาคตของ Mamie Café & Eatery ไว้อย่างไร คุณกิฟต์ตอบอย่างมั่นใจว่า จะสามารถทำให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีก โดยที่จะทำให้ Mamie Café & Eatery กลายเป็นร้านอาหารที่ติดการค้นหาใน Google ให้ได้ เพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อนจากการทำ The Resort House ที่เป็นบริษัทรับจัดงานแต่งงานที่มีลูกค้าค้นหาติดอันดับต้นๆ ในกูเกิลเองด้วยระบบ SEO ทำให้ไม่ต้องเสียงบโฆษณาเลย แต่มีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสุดท้ายแล้วสามารถทำให้ Mamie Café & Eatery เป็นร้านอาหารที่เสิร์ชหาเจอได้ง่ายๆ ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น ลดต้นทุนค่าโฆษณาได้น้อยลง และดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงต่อจากนี้ ก็ยังคงต้องอาศัยการทำโฆษณาผ่านเฟสบุคอยู่ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างออกไป ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นก่อน โดยคุณกิฟต์มองว่า นอกจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่ใกล้ร้านแล้ว Mamie Café & Eatery ยังสามารถมองไปยังลูกค้าที่อยู่ไกลๆ ได้ เพราว่าปัจจุบัน ถ้าเป็นร้านที่ดีจริงๆ สถานที่สวย อาหาร เครื่องดื่มอร่อย ในวันหยุดนั้น การได้ขับรถสัก 40 นาทีไปเที่ยวกับครอบครัว ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง และเป็นเรื่องที่ทุกคนเต็มใจด้วยซ้ำ ดังนั้น Mamie Café & Eatery จึงน่าจะขยายการรับรู้ออกไปได้มากกว่านี้
ขยัน อดทน พร้อมเรียนรู้แก้ไข ทำทุกอย่างเต็มที่ด้วยใจ ยังไงก็มีทางรอด
ปัจจุบัน Mamie Café & Eatery เปิดมาได้ไม่นานแต่ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า เริ่มมีการบอกต่อและกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่ากลายเป็นหมุดหมายใหม่ของคนที่ชื่นชอบร้านคาเฟ่ที่กว้างใหญ่ มีมุมสวยงามน่านั่งให้เลือกมากมาย อาหาร เครื่องดื่ม ขนมหวาน จัดว่าอยู่ในคุณภาพเยี่ยม ซึ่งคุณกิฟต์บอกว่าไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้ รู้สึกดีใจมากๆ และรู้สึกขอบคุณลูกค้าทุกคนที่อุดหนุน การสนับสนุนของทุกคนคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้ทีมงานทุกคนของ Mamie Café & Eatery มุ่งมั่นที่จะทำงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งสิ่งที่คุณกิฟต์ยึดมั่นในการทำธุรกิจคาเฟ่ร้านอาหารท่ามกลางวิกฤต ก็คือ ขยัน อดทน ทำจากใจ ทำให้เต็มที่ด้วยใจ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โลเคชั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะผู้บริโภคจะเสาะแสวงหาทางไปหาร้านเราได้เอง ถ้าร้านเราดีจริงๆ และโลกโซเซียลก็ช่วยเราได้มากจริงๆ
สำหรับใครที่กำลังมองหาคาเฟ่วิวสวย มีพื้นที่กว้างขวาง อาหาร เครื่องดื่มอร่อย และต้องการใช้เวลาอยู่ได้นานๆ แบบราคาเบาๆล่ะก็ Mamie Café & Eatery คือหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด ที่ควรค่าแก่การลองไปสักครั้ง Mamie Café & Eatery เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร ตั้งแต่ 9.30 น. ถึง 17.30 น. ตั้งอยู่บนถนนเส้นคลองหลวง เลยหลังตลาดไทมาประมาณ 6 กิโล https://www.facebook.com/mamiecafeandeatery/