ไมโครเวฟ

อาหารกับไมโครเวฟ

แม้ว่าการทำอาหารด้วย ไมโครเวฟ จะเป็นความสุขง่ายๆของชีวิตและเป็นอุปกรณ์ที่สะดวกที่สุดในการอุ่นอาหารของคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทนทานต่อทุกสิ่ง

The Huffington Post Australia ได้พูดคุยกับ Rachelle Williams ประธานของ Food Safety Information Council เกี่ยวกับสิ่งที่สามารถนำเข้า ไมโครเวฟ ได้ โดย Williams กล่าวว่าคุณสามารถอุ่นอาหารได้ 3 วิธี ได้แก่ ทางตรง ทางอ้อม และ ไมโครเวฟ

ทางตรงอยู่ที่ด้านบนของเตาซึ่งได้รับความร้อนโดยตรงในอาหาร ทางอ้อมอยู่ในเตาอบ ในกระป๋องอบ หรือภาชนะแก้วหรือเซรามิก วิธีนี้จะทำให้อากาศรอบๆร้อนขึ้นเป็นผลให้อาหารร้อนขึ้น

แต่ไมโครเวฟไม่ร้อนเหมือนเตาอบ”  Williams อธิบายว่าเป็นการผ่านภาชนะหรืออาหารและกระตุ้นโมเลกุลในอาหาร ซึ่งจะสร้างความร้อน ด้วยเหตุนี้ อาหารที่เข้าไมโครเวฟ จึงมักจะเย็นตัวลงเร็วกว่าอาหารที่ปรุงบนจานร้อนหรือในเตาอบ 

1.อุปกรณ์ประเภทโลหะ

ไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ช้อน ส้อมหรืออลูมิเนียมฟลอยด์ เพราะมีแนวโน้มที่จะเกิดปประกายไฟได้ จริงๆแล้วการตกแต่งภายในของไมโครเวฟทำจากโลหะ ซึ่งทำงานเหมือนกระจก

โดยจะสะท้อนคลื่นไมโครเวฟ ปล่อยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สิ่งของของคุณอุ่นขึ้น เมื่อวางโลหะไว้ในไมโครเวฟคลื่นจะสะท้อนออกจากสิ่งของทำให้ไหม้อย่างรวดเร็วและติดไฟได้ สิ่งนี้เป็นอันตรายต่อไมโครเวฟของคุณและเป็นอันตรายมาก

 2.ผลิตภัณฑ์พลาสติก

เมื่อได้รับความร้อนพลาสติกจะปล่อย Bisphenol A หรือ BPA ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ใช้ในการทำให้พลาสติกใสและ phthalates ซึ่งช่วยให้มีความอ่อนนุ่ม

ตามรายงานของ Harvard Health Publication “เชื่อกันว่า BPA และ phthalates เป็นตัวขัดขวางการทำงานของต่อมไร้ท่อสารเหล่านี้เป็นสารที่เลียนแบบฮอร์โมนของมนุษย์

แนะนำให้ใช้จานแก้วหรือพลาสติกที่เข้าไมโครเวฟได้ สังเกตสัญลักษณ์ด้านล่างของผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง เพื่อดูว่าสามารถใช้ในไมโครเวฟได้จริงหรือไม่ และเลือกใช้ภาชนะที่ปราศจากสาร BPA

3.ถุงกระดาษ

ถุงกระดาษมีความแตกต่างกัน เช่น ถุงป๊อปคอร์นจะแตกต่างจากถุงกระดาษสีน้ำตาลที่คุณใช้ใส่อาหาร โดยมีสารดูดซับซึ่งเป็นวัสดุที่ผลิตขึ้น

เพื่อใช้กับคลื่นวิทยุที่ผลิตโดยไมโครเวฟ ถุงกระดาษทั่วไปจะไม่มีสารดูดซับและสามารถปล่อยสารพิษ และควันออกได้เมื่ออุ่นเครื่อง เนื่องจากไมโครเวฟผลิตความร้อนได้เร็ว จึงทำให้ถุงติดไฟได้

4.อย่าปรุงอาหารทั้งหมดในเวลาเดียวกัน

เพราะอาหารที่แตกต่างกันจะให้ความร้อนในรูปแบบที่แตกต่างกัน ยิ่งอาหารมีความหนาแน่นมากเท่าใด อาหารก็จะร้อนแตกต่างกันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาหารที่มีของเหลวมากกว่า

การอุ่นอาหารที่แข็งและหนาแน่นกว่า เช่น สเต็กหรือมันฝรั่งจะให้ความร้อนแตกต่างจากซุปหรือสตูว์มาก โดยที่ซุปจะร้อนเร็ว แต่ก็จะสูญเสียความร้อนเร็วขึ้นด้วย ส่วนสเต็กหรือมันฝรั่งจะร้อนช้าลง แต่ก็จะเก็บความร้อนได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย

READ  อาหารแก้ “แฮงค์”

5.ผัดอาหารเป็นครั้งคราว

ไมโครเวฟ ต้องการจานหมุน เพื่อให้คลื่นเข้าถึงทุกส่วนของอาหาร ถึงกระนั้นไม่ใช่ว่าทุกส่วนจะได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง ดังนั้น คุณต้องผัดอาหารให้กระจายความร้อนและคนให้เข้ากัน เพื่อให้แน่ใจว่าร้อนทั่วถึง

6.ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม

อุ่นอาหารให้สูงขึ้นอย่างน้อย 75 องศาเซลเซียสเสมอ โดยเฉพาะอาหารเหลวที่ต้องการการเดือดในอุณหภูมิที่เหมาะสม

7.ระวังภาชนะที่ไม่มีฝาปิด

ความร้อนที่ปล่อยออกมาในขณะอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีไขมันหรือของเหลวอยู่ในนั้นหมายความว่ามีแนวโน้มที่จะระเบิดได้ ควรปิดจานโดยใช้ฝาครอบหรือวัสดุที่ปลอดภัยกับไมโครเวฟ

8.ทำความสะอาดบ่อยๆ

ไม่ใช่แค่ด้านข้างและด้านล่าง แต่เป็นผิวด้านบนด้วย เพราะหากมีเศษอาหารติดอยู่อาจจะหล่นกลับเข้าไปในอาหารของคุณในครั้งต่อไปได้ โดยวิธีที่ดีที่สุดในการทำความสะอาดไมโครเวฟคือน้ำยาล้างจานและผ้าชุบน้ำสะอาดๆก็เพียงพอแล้ว

9.อย่าละลายเนื้อสัตว์

ถ้าคุณรู้ว่าจะทำสเต็กในคืนวันพรุ่งนี้ให้เอาเนื้อแช่แข็งออกมาตอนเช้าใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาจะดีกว่า สำหรับการละลายอาหารที่มีของเหลว เช่น สตูว์และซุป สามารถใช้ไมโครเวฟได้ คนให้เข้ากันแล้วละลายและปรุงให้สุก

10.ตรวจสอบประเภทอาหาร

เนื่องจากอาหารที่แตกต่างกันให้ความร้อนแตกต่างกันจึงควรตรวจสอบมื้ออาหารของคุณในขณะที่ปรุงอาหาร อาหารแห้งจะร้อนเร็วจึงควรใช้เวลาสั้นๆ

และระวังอาหารประเภทไข่ที่ง่ายต่อการระเบิด รวมทั้งพริกขี้หนู ไม่เพียงแต่อาจทำให้เกิดประกายไฟและทำให้เกิดไฟไหม้ แต่เมื่อคุณเปิดไมโครเวฟสารเคมีที่ปล่อยออกมาจากพริกอาจทำให้สำลักและแสบตาได้ เป็นกระบวนการที่คล้ายกับสเปรย์พริกไทย

เมื่อพูดถึงไมโครเวฟสิ่งที่นึกถึงคือคือทำให้มันเรียบง่าย จำไว้ว่าไมโครเวฟถูกสร้างมา เพื่อให้ความร้อนกับอาหารของคุณไม่ใช่ทำให้มันยุ่งยาก ครั้งต่อไปที่คุณจะใส่อะไรบางอย่างในไมโครเวฟ ต้องแน่ใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

 

Resource:

https://www.huffingtonpost.com

https://www.ahs.com

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า