สำหรับใครก็ตามที่ชื่นชอบอาหารทะเลนั้น แน่นอนว่า “ปูทาราบะ” คือ หนึ่งในสุดยอดปูที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องลองลิ้มชิมรสให้ได้ ยิ่งกับคนที่ได้มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่น โดยเฉพาะอกไกโดด้วยแล้ว หากไปถึงที่นั่น แล้วไม่ได้กิน ปูทาราบะ ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ได้ไปเลยก็ว่าได้
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายๆ คนที่อยากลองชิม ปูทาราบะ แต่ไม่แน่ใจว่า ตัวไหนกันแน่ หน้าตาแบบไหนกันแน่นะ ถึงเป็น ปูทาราบะ จริงๆ ก็เลยไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อปูผิดชนิดไปแทน วันนี้ เราก็เลยมีเรื่องราวเกี่ยวกับ ปูทาราบะ มาฝากกันครับ เพื่อนๆ จะได้แยกออก เลือกถูก ซื้อ ปูทาราบะ ถูกตัว และไม่ถูกหลอกให้เจ็บปวดกระดองใจ
ปูทาราบะ กับ ปูอลาสก้า เป็นปูชนิดเดียวกัน
ประเด็นแรกที่เราต้องทราบก่อนเลยก็คือ ปูทาราบะ (Taraba) กับ ปูอลาสก้า (Alaskan) นั้น จัดเป็นปู King Crab ชนิดเดียวกัน แต่ที่มีชื่อเรียกต่างกันนั้นเป็นผลมาจาก “ตำแหน่งที่อยู่อาศัย” โดยหากพบในทะเลแบริ่ง และทะเลแปซิฟิกเหนือ จะเรียกว่า ปูอลาสก้า
ส่วนถ้าเป็นในทะเลญี่ปุ่น จะเรียกว่าปูทาราบะ แต่อย่างไรก็ตาม King Crab ก็ยังมีสายพันธุ์อื่นย่อยๆ ลงไปอีก ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้น ก็จะมีรสชาติ ความอร่อย ที่แตกต่างกันไป โดยทางฝากฝั่งยุโรป ปูอลาสก้า King Crab นั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Red King Crab, Blue King Crab และ Brown King Crab หรือ Golden King Crab
ส่วนทางฝากฝั่งของทะเลญี่ปุ่นนั้น จะพบมากและนิยมอยู่เพียง 2 สายพันธุ์ คือ ทาราบะกานิ หรือ Red King Crab ซึ่งจะเป็นปูที่มีตัวสีน้ำตาลเข้ม และ อะบุระกานิ หรือ Blue King Crab ที่ลักษณะตัวจะมีสีน้ำเงิน
โดยสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมทานมากที่สุด คือ ทาราบะกานิ Red King Crab เพราะรสชาติของเนื้อที่อร่อย และมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า ซึ่งเมื่ออร่อยกว่า ดีกว่า มีคุณภาพกว่านี้เอง จึงทำให้ราคาของปูทาราบะนั้นสูงกว่า
ปูทาราบะ จะหนามสั้น ไม่ยาวแหลม
ด้วยเพราะฉายาที่เรียกกันว่า King Crab จึงอาจทำให้หลายๆ คนเข้าใจว่า ถ้าเป็นปูตัวใหญ่ ดูเป็นปูยักษ์แล้วจะเป็นปูทาราบะเสมอ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ เพราะปูตัวใหญ่อื่นๆ อาจจะไม่ได้เป็นปูทาราบะก็ได้ โดยหนึ่งในชนิดปูที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปูทาราบะมากที่สุดก็คือ ปูชิลี ซึ่งความแตกต่างที่สำคัญระหว่างปู 2 ชนิดนี้ ก็ได้แก่
- ปูทาราบะจะมีหนามสั้นไม่แหลมมาก แต่ปูชิลีจะหนาวแหลมและยาวกว่า
- น้ำหนักและขนาดตัว ปูทาราบะจะใหญ่และหนักกว่า
- รสชาติความอร่อย ปูทาราบะจะอร่อยกว่า กลมกล่อม หวานฉ่ำกว่า
- ในส่วนของราคา ปูทาราบะแพงกว่าค่อนข้างมาก ดังนั้น หากเห็นปูยักษ์ราคาถูกอย่าเพิ่งรีบด่วนดีใจว่าจะได้กินปูทาราบะราคาย่อมเยา แต่ต้องดูให้ดีก่อน เพราะเราอาจได้เป็นปูชิลีมาแทนก็ได้ มีหนาม แต่สั้น ไม่แหลมเท่าไร แบบนี้แหละ ปูทาราบะ
ความแตกต่างระหว่าง ปูทาราบะ กับ ปูอะบูระกานิ
อย่างที่บอกไปแล้วตั้งแต่ตอนต้นว่า King Crab ของทางฝั่งญี่ปุ่นนั้น จะมีที่พบมากได้ 2 สายพันธุ์ คือ ทาราบะกานิ และ อะบูระกานิ ซึ่งก็ถือว่ามีความคล้ายกันอยู่ไม่น้อย ดังนั้น จึงต้องแยกให้ดี เลือกให้ถูก เพื่อให้ได้ปูทาราบะแท้จริงๆ เนื่องจากรสชาติความอร่อยนั้นแตกต่างกัน โดยจุดสังเกตความแตกต่างระหว่างปูทาราบะ กับ ปูอะบุระกานิ มีง่ายๆ 2 ข้อ ได้แก่
- ปูทาราบะ มีตัวสีน้ำตาลเข้ม แต่ปู อะบุระกานิ จะมีตัวสีน้ำเงิน
- ตรงช่วงบริเวณกลางกระดองของปูทาราบะจะมีหนามแหลมอยู่ 6 หนาม ส่วนปูอาบูระ กานิ จะมีหนามแหลมอยู่เพียงแค่ 4 หนามเท่านั้น
- เมื่อนึ่งสุกแล้ว ปูทาราบะจะมีสีออกแดงมากกว่า จึงได้ฉายาว่า Red King Crab ส่วนอาบูระกานิ จะออกส้มๆ ไม่แดงเท่า
เชื่อว่าถ้าอ่านมาจนถึงตรงนี้ เพื่อนๆ น่าจะรู้จักกับปูทาราบะกันมากขึ้นแล้ว และก็น่าจะสามารถแยกออกได้ไม่ยากว่า ปูตัวไหนกันแน่ คือปูทาราบะที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เวลาเลือกซื้อปูทาราบะ ถ้าจะให้ได้รสชาติความอร่อยจริงๆ ก็ควรเลือกซื้อแบบตัวเป็น สดๆ แล้วค่อยนำไปประกอบอาหาร ทำเป็นเมนู จะได้รสชาติที่ดีกว่า อร่อยกว่า ซื้อแบบที่เป็นปูทาราบะแช่แข็ง
ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีการจะทำปูทาราบะให้อร่อยนั้น ก็อาจไม่ต้องคิดสร้างสรรค์เป็นเมนูพิสดารซับซ้อนอะไรเลย เพราะเพียงแค่นึ่งสุก จิ้มทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็อร่อยอย่าบอกใครแล้ว และด้วยความอร่อยในตัวเองแบบที่หาปูชนิดใดเทียบได้ยากนี้เอง จึงทำให้ปูทาราบะไม่ใช่ราชาแห่งปู King Crab เพราะแค่ขนาดตัวที่ใหญ่กว่าปูอื่นๆ เท่านั้น แต่เป็นเพราะรสชาติความอร่อยที่คนทั่วโลกต่างยอมรับให้เป็นที่ 1 ด้วย