เชื่อว่าสายปูทุกคน รวมถึงสาวกประเทศญี่ปุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ปูทาราบะ” หรือ “ปูอลาสก้า” ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์น่าดึงดูด และรสชาติที่หวานฉ่ำ เป็นเอกลักษณ์ชวนให้หลงใหลแบบไม่เหมือนปูใดๆ จึงทำให้ทั่วทั้งโลกต่างยกย่องว่า ปูทาราบะ หรือปูอลาสก้านั้น คือราชาแห่งปูที่มีรสชาติอร่อยที่สุด
แต่ถึงแม้จะอร่อยแค่ไหน ด้วยราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละกว่า 3,000 บาท ก็ทำให้หลายๆ คนยังคงสงสัยและตั้งคำถามอยู่ดีว่า ทำไมถึงได้มีราคาแพงขนาดนี้ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปพบกับ 3 เหตุผล นอกเหนือจากความอร่อย ว่าทำไม ปูทาราบะ หรือ ปูอลาสก้านั้น ถึงได้มีราคาแพง
1.กว่าจะจับได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมเสี่ยงตายโคตรๆ
ปูทาราบะหรือปูอลาสก้านั้น เป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก ที่มีสภาพอากาศเย็นจัดชนิดติดลบ จึงทำให้ในการเดินทางออกไปจับปูเต็มไปด้วยความยากลำบากและความเสี่ยงตาย โดยอาชีพนักจับปูทาราบะหรือปูอลาสก้า ได้รับการขนานนามกันว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่เสี่ยงตายที่สุด
การันตีได้จากชื่อ Deadliest Catch ซึ่งคนที่ทำอาชีพนี้นั้น จะต้องมีสภาพร่างกาย และจิตใจที่แข็งแกร่ง ต้องเตรียมตัววางแผนเป็นอย่างดี เพราะต้องออกไปเผชิญชะตากรรมกับสภาพอากาศอันโหดร้ายกลางทะเลลึกยาวนานเป็นสัปดาห์
ซึ่งว่ากันว่าในการเตรียมตัวออกเรือแต่ละครั้งนั้น ใช้เวลายาวนานถึง 2 เดือนเลยทีเดียว แต่ถึงแม้การจับปูทาราบะจะยากลำบากสักแค่ไหน ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็นับว่าคุ้มค่ามากๆ โดยรายได้ของนักจับปูทาราบะหรือปูอลาสก้า ครั้งหนึ่งในการออกทะเลไปนั้นจะอยู่ที่หลักแสนถึงหลักล้านเลยทีเดียว
2.ฤดูการจับปูทาราบะที่ดีที่สุดมีแค่เพียงปีละครั้งเท่านั้น
เทศกาลหรือฤดูกาลจับปูทาราบะหรือปูอลาสก้านั้น ในปีหนึ่งๆ จะมีเพียงแค่ครั้งเดียว คือในช่วงฤดูหนาว เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ปูทาราบะโตเต็มที่และมีรสชาติดีมากที่สุด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ปูทาราบะมีราคาแพง เพราะนอกจากจะเสี่ยงตายออกไปจับมาแล้ว ยังมีปริมาณไม่ได้มากเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง
3.จะจับปูทาราบะได้ ต้องมีใบอนุญาตและทำตามกฎ
ไม่ใช่ทุกคนที่คิดอยากจะจับปูทาราบะมาขายก็ออกเดินทะเลไปจับได้ ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าเสี่ยงตายอยากได้เงินเยอะๆ แล้วจะออกไปจับปูทาราบะมาขายได้ เพราะด้วยความนิยมในปูทาราบะหรือปูอลาสก้าที่มีมากนั้น จึงทำให้มีกฎหมายกำหนดการจับปูทาราบะหรือปูอลาสก้าอย่างเป็นทางการ
โดยคนที่จะออกเรือไปจับปูทาราบะได้นั้นจะต้องมีใบอนุญาต หากฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษ นอกจากนั้นแล้ว ถึงต่อให้มีใบอนุญาต ก็ใช่ว่าจะกอบโกยจับปูยังไงก็ได้ แต่ในประเทศต่างๆ ที่มีปูทาราบะหรือปูอลาสก้าให้จับนั้น จะมีกฎหมายที่เป็นเงื่อนไขให้ปฏิบัติตามอยู่ด้วย
โดยจะ “กำหนดขนาด” ของปูเอาไว้ เช่น 2 กิโลขึ้นไป คือถ้าจับปูทาราบะหรือปูอลาสก้าขึ้นมาได้แล้วตัวเล็กกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องปล่อยลงทะเลไป เพื่อเป็นการควบคุมประชากรปู ซึ่งหากใครฝ่าฝืนก็อาจได้รับโทษเพิกถอนยึดใบอนุญาตได้
เพราะความอร่อยอันเป็นที่สุด ความจับยากแบบเสี่ยงตายที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ต้องการมากที่สุด แต่ปริมาณที่จับมาได้แต่ละครั้งนั้นมีจำนวนไม่มากพอ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เองจึงทำให้ปูทาราบะ หรือปูอลาสก้า มีราคาแพงอย่างที่เราทราบๆ กัน
แต่ถึงกระนั้น ก็ถือว่าควรหาโอกาสลิ้มลองดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราจำเป็นต้องทานบ่อยๆ ก็ได้ แต่ใช้ปูทาราบะ เป็นเมนูช่วยเพิ่มคุณค่า สร้างบรรยากาศ สร้างโอกาสให้มื้ออาหารของเรากับคนที่เรารักนั้น กลายเป็นมื้ออาหารที่พิเศษมากขึ้น อร่อยมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และน่าจดจำไปตลอดชีวิต